ไม่ใช่รู้สึกไปเองแต่อายุตัวเองก็เริ่มเยอะขึ้นจริงๆปีนี้ก็ 28 แล้ว พ่อ-แม่ผมก็เช่นกัน ปีนี้ท่านก็อายุ 80 กับ 58 ปีแล้ว รู้สึกติดค้าง แม้ว่าพ่อ-แม่ผมท่านจะไม่ได้เคยขอแบบเอ่ยปากอย่างเป็นจริงเป็นจัง แต่ลึกๆในใจก็ทราบดีว่าท่านอยากเห็นลูกชายบวช เพื่อความสุขความสบายใจของท่าน
เชื่อกันว่าการบวชนั้นได้กุศลผลบุญมหาศาล ..เอาเข้าใจจริงคนรุ่นใหม่ที่ไม่ได้ใกล้ชิดศาสนาอย่างผมก็ไม่ได้คิดหรอกว่ามากมันน้อย ..ถ้าบวชแล้วพ่อแม่สบายใจพอจะเรียกว่าบุญได้ ผมก็ดีใจแล้ว
จะมากหรือจะน้อยคนส่วนใหญ่ก็ทราบดีว่าชีวิตความเป็นอยู่พระนั้นแตกต่างจากคนทั่วไป ผมไม่ได้พูดว่าเป็นพระแล้วลำบาก แต่การปรับตัวกับเรื่องใหม่ย่อมไม่ใช่เรื่องสบายอยู่แล้ว ก่อนบวชก็ต้องเตรียมตัวเตรียมใจนิดนึง
- พระไม่ใส่กางเกงในนะครับ ..เคยใส่มาแทบจะตลอด อาจจะรู้สึกเบาๆโหวงๆบ้าง จะลุกจะนั่งก็ต้องระวัง
- พระไม่กิน(ฉัน)อาหารหลังเที่ยงนะครับ ..ปกติหิวเมื่อไหร่กินเมื่อนั้น ห้าทุ่ม เที่ยงคืนเดินเข้าครัวหยิบอะไรเข้าปากก็ได้
- พระไม่มีอะไรให้เล่น ..เบื่อๆก็เล่นเกมส์ อ่านฟีด ถ่ายรูป ส่องเฟซฯ นี่คงไม่เหมาะ..อันนี้เป็นความตั้งใจของผมเองว่าจะไม่เอามือถือไว้ใช้ตอนบวช ความจริงก็ไม่ได้มีบัญญัติข้อห้ามอะไรถ้าจะเอามือถือไว้เพื่อการติดต่อสื่อสาร แต่มือถือปัจจุบันมันใส่อะไรมาหลายอย่างเพื่อความบันเทิง ..ไม่เอาไว้ดีกว่า
- พระทำอะไรตามใจตัวเองไม่ได้ ..ในหลายๆเรื่องครับ อยากเที่ยว อยากกินนั่นกินนี่ (เลือกกินไม่ได้นินา) อยากดูทีวี อยากหล่อ ฯลฯ
- นอนอยู่วัดไม่สบายเหมือนนอนบ้าน ..ไม่มีแอร์ ที่นอนนุ่มๆ หมอนน่ากอดๆ ..แต่ความเป็นจริงชีวิตผมตอนอยู่บ้านก็ไม่ได้นอนสบายมากนักหรอก ร้อนๆหน่อยมีพัดลมตัวนึงผมก็หลับได้แล้ว
- เป็นพระต้องห่างครอบครัว ห่างเพื่อน ห่างแฟน ..ก็แล้วแต่บางคนครับ ที่บวชพร้อมผมหลายคนส่วนใหญ่ญาติอยู่ใกล้บ้าน แต่ผมบ้านกับวัดอยู่ไกลพอควร ครอบครัว-แฟนมากันสะดวกๆก็แค่วันเสาร์-อาทิตย์
- และอื่นๆอีกเยอะ
เอาเป็นว่าอันนี้สรุปให้ฟังว่า ถ้าจะบวชเป็นพระเรื่องนี้ยังไงก็เจอ ก็เข้าใจไว้ก่อนเลย
ทีนี้นอกจากเรื่องการเข้าใจแล้ว ภาระในชีวิตก็ต้องจัดการให้เรียบร้อย ไหนจะค่าใช้จ่ายต่างๆทั้งผ่อนรถ บัตรเครดิต เงินเก็บ แพลนงาน กำหนดนัดหมายไปงาน เที่ยวนู้นเที่ยวนี่ ผมบอกกล่าวกับบริษัทไว้นานมากตั้งแต่ปลายปีที่แล้ว จนมาลงตัวเอาเดือนมีนาคมด้วยเหตุผลหลายๆอย่าง ทั้งเป็นเดือนเกิดพี่สาว โปรเจคที่ทำงานปิดพอดี ไม่มีแพลนเดินทางใดๆ
ทำงานที่บริษัทมาเกือบๆสองปี ก็คงน่าไว้ใจในระดับที่สามารถขอเอ่ยปากเพื่อลางานมาทำธุระตรงนี้เพื่อตัวเองและครอบครัวได้ เนื่องจากผมตั้งใจว่าจะบวชสัก 1 เดือนหรือประมาณ 4 อาทิตย์ / 20 วันทำงาน ผมเลยใช้วันลาพักร้อนไป 10 วันส่วนอีก 10 วันที่เหลือผมให้ฝ่ายบุคคลตัดสินใจ ผ่านการตัดสินใจหลายรอบ จนวันสุดท้ายของการทำงานเป็นวันที่ผมซาบซึ้งมากครับที่บริษัทอนุญาติให้ผมลาไปทำธุระได้โดยยังคงจ่ายเงินเดือนให้สำหรับ 10 วันที่เหลือ
…
เมื่อตั้งใจจะบวชก็ไม่อยากรบกวนพ่อ-แม่มาก ผมเริ่มหาวัดที่จะบวชเอง ตั้งแต่ช่วงปลายปี น่าจะปลายๆเดือนพฤศจิกายนถ้าจำไม่ผิด
พ่อเองเคยเอ่ยปากว่าจะถ้าจะบวชก็อยากให้บวชที่วัดพลับพลาชัยเพราะมีพระที่พ่อนับถือคุ้นเคยอยู่ ลูกพี่ลูกน้องผมก็เคยบวชที่นั่น แต่ผมเห็นว่ามันไกลมาก อีกทั้งผมสังเกตุว่าน่าจะไม่มีอะไรให้ผมทำมากนัก (หมายถึงศึกษา-ปฏิบัติธรรม) ผมเลยขอเป็นตัวเลือกสุดท้าย
เอาตามจริงผมก็ไม่ชอบความเจริญของวัดตัวเมืองเท่าไหร่จนอยากไปบวชวัดต่างจังหวัด แต่คงลำบากหากครอบครัวจะเดินทางไปทำบุญก็เลือกในกรุงเทพฯนี่แหละ
ผมไปติดต่อที่วัดพระรามเก้าก่อน เพราะเดินทางสะดวก รวมถึงเห็นกิจกรรมที่ออกทีวีรายการ “สามเณรปลูกปัญญาธรรม” น่าเลื่อมใสดี ..สุดท้ายก็ไม่ลงตัว วัดพระรามเก้ามีตารางบวชของวัด ซึ่งยังไม่แน่นอนตอนผมไปติดต่อ ขณะที่ผมมีวันที่แน่นอนแล้ว
สมัยนี้คนจะบวชไม่ใช่นึกจะไปก็ไป พร้อมเมื่อไหร่ก็ไปเสียแล้ว ..เพราะคนบวชพร้อม แต่วัดไม่พร้อม ..การบวชต้องมีการนิมนต์พระอุปัชฌาย์ซึ่งท่านก็ไม่ได้จะสะดวกไป-มาเมื่อไหร่ก็ได้ ดังนั้นแล้วแต่ละวัดมักจะใช้วิธีการบวชหมู่ คือรอให้พร้อมกันหลายๆคนเลย พระอุปัชฌาย์จะได้มาทีเดียว ..ซึ่งอันนี้จะไปก็โทษวัดไม่เหมาะไม่ควรน่ะครับ ศาสนาก็ต้องหมุนก็ต้องปรับตัวไปตามโลก ..ถึงศาสนากับทางโลกจะอยู่คนละสายกัน แต่ก็ต้องพึ่งพากัน วัดก็มีค่าใช้จ่ายเองเหมือนกันนิครับ
หลังผ่านไปอีกหลายวันกับการคิดหาวัด ผมนึกถึงวัดที่อุ่นเคยบวช ที่วัดธรรมมงคล จำได้ว่ามีเจดีย์ใหญ่ และอุโบสถที่สวยงาม วัดไม่ใกล้เมืองที่วุนวายแต่ก็ไม่ไกลมากจะเดินทาง เลยไปติดต่อดู อย่างที่บอกไปว่าเป็นการบวชหมู่เหมือนกัน แต่ตารางเวลาง่ายมากมีบวชหมู่เดือนละสองครั้งคืออาทิตย์ต้นเดือน-ปลายเดือน ก็ลงตัวกับที่นี่ดี สรุปว่าบวชอาทิตย์ที 16 มีนาคม
ผมกะว่าจะจัดงานเงียบๆมีแต่ญาติ เพื่อนกลุ่มเล็กๆที่สนิทและยังติดต่อกันอยู่ เพราะไม่อยากวุ่นวายกับพิธีมากนัก ..เรื่องญาติ พิธีการ งานรับแขกก็ให้แม่จัดการไป การ์ดก็ไม่ได้กะจะพิมพ์ แต่สุดท้ายงานบวชลูกทั้งทีแม่ก็พิมพ์มาจนได้ ..เรื่องมาวุ่นวายเอาตรงที่ทางวัดโทรมาแจ้งว่าขอเลื่อนวันบวชขึ้นมา 1 วันเนื่องจากติดธุระ หลังจากแจกการ์ดไปแล้วด้วยน่ะสิ
การจะเข้าไปพิธีบวชได้นั้นก็ต้องมีการซักซ้อมพิธีการ-ขั้นตอน-มีการเตรียมตัวให้ผู้บวชหรือซ้อมขานนาคด้วย ทำให้ 4 อาทิตย์ที่ลางานไปหมดไปกับการเตรียมตัวซะหลายวันเลย
การซ้อมขานนาคโดยทั่วๆจากประสบการณ์ที่ผ่านๆมาของญาติๆหรือเพื่อนๆก็จะใช้เวลาประมาณ 3 วันก่อนบวชครับ เพื่อเตรียมตัวอย่างที่บอกไป ถือเป็นเรื่องสำคัญอย่างหนึ่ง โดยมากทางวัดที่เป็นนิกายธรรมยุติที่เคร่งครัดส่วนใหญ่มักจะระบุไว้ในเอกสารเลยว่า ผู้ขอบวชต้องท่องคำขอบวชได้ด้วยตนเอง
กว่าจะบวชทิ้งเวลานานมาก ไม่รู้ผมเตรียมนานไปมั๊ยจากติดต่อพฤศจิกายนปีที่แล้ว บวชมีนาคมปีนี้ กว่าจะไปซ้อมขานนาคแทบจะลืม แต่ก็ติดต่อกับทางวัดไว้ตอนกลางๆเดือนกุมภาพันธ์แล้วว่ายืนยันเรื่องการบวช ระหว่างนั้นก็ท่องคำขอบวช เตรียมข้าวของเครื่องใช้ต่างๆไป
เล่าให้ฟังคร่าวๆสำหรับคำขอบรรพชาในนิกายธรรมยุติ จะเริ่มด้วย “เอสาหัง ภันเต..” แต่เวลาซ้อมขานนาคจะใส่สำเนียงลงไปด้วย คำจึงออกมาเป็น “เอซ่าฮั้ง ภันเต..”
…
เรื่องเตรียมตัวบวชเอาไว้เท่านี้ก่อนดีกว่า มีตอนต่อแน่นอน ..เมื่อไหร่ไม่รู้ แต่คงเร็วๆนี้เพราะเริ่มจะว่างแล้ว แถมทิ้งเรื่องราวไว้นาน เดี๋ยวลืมหมด
ติดตามอยู่นะ อยากทราบช่วงบวชว่าเป็นไงบ้าง